วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีตานข้าวสลากหรือสลากภัต



ความหมาย    ตานข้าวสลากหรือตานก๋วยสลาก    เป็นภาษาถิ่น   หมายถึงการที่ทายกทายิกา(ผู้ให้ทาน)นำข้าวปลาอาหารพร้อมทั้งสิ่งของใส่ในก๋วยหรือชะลอมที่สาน ด้วยไม้ไผ่ที่สมควร
แก่พระสงฆ์ต้องใช้ชาวนาน้อย เรียกว่า กิ๋นสลาก  บางท้องที่เรียกว่า ตานก๋วยสลาก  บางแห่งเรียกว่า  การถวายสลากภัต  นับเป็นประเพณีที่เก่าแก่ที่เกิดขึ้นในพุทธศาสนา และเป็นประเพณีทางศาสนาที่สำคัญที่ชาวนาน้อยปฏิบัติสืบต่อกันมา

ประวัติความเป็นมาของการถวายสลากภัต  
            ในสมัยพุทธกาล  ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร     ได้มีนางกุมาริกาได้อุ้มลูกชายวิ่งหนีนางยักษ์ผู้มีเวรต่อกันหลายชาติแล้วติดตามมาจะทำร้ายลูกของนาง  นางเห็นจวนตัวจึงพาลูกวิ่งหนีเข้าไปวัดเชตวันนำลูกน้อยวางแทบพระบาทพระพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้าทรงตรัสคำสอนต่อนางมาริกาและนางยักษ์ด้วยคำสอนที่ว่า  เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร  เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร  แล้วให้นางทั้งสองเห็นผิดชอบชั่วดีนางยักษ์รับศีลห้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า     เมื่อรับศีลแล้วไม่รู้จะทำมาหากินอย่างไรนางกุมาริกาเห็นดังนั้น  จึงรับอาสาพานางยักษ์ไปอยู่ด้วย นางยักษ์ได้รับการอุปการะจากนางกุมาริกาหลายประการจึงอยากตอบแทนบุญคุณนาง จึงเป็นผู้พยากรณ์เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศให้กับนางมาริกาทำให้นางมาริการ่ำรวยขึ้นจากการประกอบอาชีพตามคำพยากรณ์ของนางยักษ์จนเพื่อนบ้านมีความสงสัยพากันขอความช่วยเหลือจากนางยักษ์ จนมีฐานะร่ำรวยขึ้น ด้วยความสำนึกในบุญคุณนางยักษ์จึงพากันซื้อเครื่องอุปโภค    บริโภคอาหารการกินเครื่องใช้มาสังเวยให้กับนางยักษ์เป็นจำนวนมาก  จนข้าวของนางยักษ์มีเหลือกินเหลือใช้ นางยักษ์จึงนำมาเป็นสลากภัต  โดยให้พระสงฆ์ได้ทำการจับเบอร์ด้วยหลักอุปโลกกรรม  คือ ของที่ถวายมีทั้งของราคามากราคาน้อยพระสงฆ์รูปใดได้ของที่ราคาน้อยก็อย่าเสียใจให้ถือว่าเป็นโชคของตน
    การถวายแบบจับสลากของนางยักขินี  นับเป็นครั้งแรกของการทำบุญสลากภัตในพระพุทธศาสนาและชาวอำเภอนาน้อยได้ถือปฏิบัติมาจนปัจจุบันนี้


ก๋วยสลากน้อย


การทำบุญสลากภัตนับเป็นประเพณีที่สำคัญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ การทำบุญเกี่ยวกับประเพณีดังกล่าวประกอบด้วยเหตุผล   ๗   ประการ 
( ๑)   ประชาชนว่างเว้นจากภารกิจการทำนา 
( ๒)   ผลไม้  เช่น  ส้มโอ  ส้มเขียวหวาน   ส้มเกลี้ยง   กำลังสุก
( ๓)   ประชาชนหยุดพักไม่เดินทางเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน
( ๔)   พระสงฆ์จำพรรษาอย่างพรักพร้อม
( ๕)   ได้โอกาสสงเคราะห์คนยากจน 
( ๖)   ถือว่ามีอานิสงส์มาก   คนทำบุญสลากมักจะมีโชคลอยมา
( ๗)   มีโอกาสหาเงินและวัตถุบำรุงวัด

ระยะเวลาทำบุญทานสลากภัตหรือกิ๋นสลาก   ทำกันตั้งแต่เดือน ๑๒ เหนือเป็งเรื่อยมาจนถึงเดือนยี่เหนือ   คือ  ช่วงเดือน ๑๑ - ๑๒ ของภาคกลาง ชาวบ้านจะนำพืชผลมาถวายใส่ไว้ในก๋วยสลาก    สลากภัตของชาวนาน้อย   ประกอบด้วย
( ๑)  สลากก๋วยเล็กหรือสลากหน้อย   คือ  สลากกระชุเล็ก ๆ
( ๒)  สลากก๋วยใหญ่คือสลากโชค
สลากก๋วยเล็ก ใช้ถวายอุทิศให้แก่ผู้ตายหรือ ทำบุญเพื่อเป็นกุศลในภายหน้า  ส่วนสลากก๋วยใหญ่ใช้ถวายเป็นมหากุศล ทำถวายเพื่อเป็นปัจจัยภายหน้าให้มีบุญกุศลมากขึ้น มีกำลังศรัทธาและร่ำรวยเงินทอง   

การเตรียมงาน   ควรวางแผนดำเนินงานดังนี้   
๑. หาวันฤกษ์งามยามดี เช่นนอกจากไม่เป็นวันเสียตามหลักโหราศาสตร์ เช่น   วันม้วยอาศรม   วันอุบาทว์  วันโลกาวินาศ  ฯลฯ  แล้ว   ควรเป็นวันหยุดราชการและไม่ควรเป็นวันที่มีงานซ้ำกันหรือซ้อนกันกับหมู่บ้านใกล้เคียงอื่น     
๒. การนิมนต์พระสงฆ์    ควรนิมนต์หมดทุกรูปทั้งวัด   เพราะงานตานสลากเป็นเพียงงานเดียวที่พระวินัยบัญญัติให้สามเณรน้อยมีสิทธิเท่ากับเจ้าอาวาส   นั้นคือการเสี่ยงดวงจับสลากโจ๊กหรือสลากที่โชคดี   แม้ว่าการรับผ้ากฐินพระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทุกรูปมีสิทธิ์ครองจีวรที่เป็นผ้ากฐินนั้นได้   แต่พระผู้อุปโลกซึ่งเจ้าอาวาสเป็นผู้ตั้งก็จะยกให้อธิบดีสงฆ์หรือเจ้าอาวาสวัดนั้น สมัยปัจจุบันประเพณีตานข้าวสลากนี้ที่ถือปฏิบัติอย่างถูกต้องจริง ๆ จะไม่ค่อยมีให้เห็น 
๓. การเตรียมงาน  ในส่วนของวัด   เจ้าอาวาสต้องเตรียมงานคือ  แจกงานให้พระภิกษุสามเณรหรือคณะกรรมการวัดรับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมถนนหานทางเข้าวัดหรือในวัด  อาคารโรงครัว  เครื่องครัว  ประดับตกแต่งต้นไม้ ประดับธงชาติธงเสมาธรรมจักรรอบกำแพงวัด   ปักตุงตามเส้นทางเข้าวัดฯลฯ รวมถึง การขึ้นต้าวตั้งสี่   การจัดทำอาหารถวายพระภิกษุสามเณร การจัดไทยทานหรือกัณฑ์รับหัววัดต่าง  ๆ    ทุกฝ่ายต้องพร้อมก่อนจะถึงวันจัดงาน

วันดา  หมายถึงวันเตรียมงานก่อนจะถึงวันถวายทาน  ๑  วัน  ในส่วนของวัดจะต้องมีพิธีขึ้นต้าวตั้งสี่ก่อน  เป็นประเพณีนิยมถือปฏิบัติเพราะเชื่อว่า   ถ้าขึ้นต๊าวตั้งสี่หรือบอกกล่าวเชื้อเชิญให้ท้าวจตุโลกบาลมาคุ้มครองและร่วมอนุโมทนาด้วยงานครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จ     บางวัดจะขึ้นต้าวตั้งสี่ก่อนวันดาก็มี  ในวันดาสลากจะมีญาติพี่น้องต่างหมู่บ้านมาร่วมทำบุญ   เรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า  “กิ๋นหอมต๋อมม่วน”  คือมาเพื่อกินให้เต็มที่เสร็จแล้วร่วมทำบุญด้วยตามกำลังศรัทธา   ซึ่งก่อนหน้านี้มีการมาร่วมทำบุญแบบ “มาใช้หนี้” กัน นั้นคือผู้ให้ต้องดูก่อนว่างานเราครั้งก่อนเขาร่วมทำบุญมาเท่าไร   ถ้าเขาให้มา ๒๐ บาท เราก็ให้ไป ๒๐ หรือ  ๒๕  บาท  ถ้าเขามา  ๑๐๐  บาท   เราก็ไป  ๑๒๐  บาท  เป็นต้น ส่วนการเตรียมอาหารหรือเหล้ายาปลาปิ้งให้ยึดถือตามประเพณีโบราณไม่ควรล้มวัวควายครั้งละมากตัวคนที่ไปร่วมงานก็ไม่ควรไปรบกวนเจ้าภาพเกินไป  ทั้งนี้เพื่อช่วยกันจรรโลงประเพณีตานก๋วยสลากให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบไปจนถึงลูกหลาน

การเขียนเส้นสลาก   ถ้าเขียนเส้นสลากเป็นก็เขียนเองถ้าเขียนไม่เป็นก็เอาไปให้เจ้าอาวาสหรือผู้รู้เขียนให้   ได้แก่  ถ้าเป็นสลากน้อยหรือก๋วยสลากธรรมดา เขียนว่า ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี…....... 
( ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)….  ก็หาได้ยังข้าวสลากกณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา….  (พ่อ  แม่  ปู่  ย่า ฯลฯ)…  ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า…..(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)............….ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี     ถ้า
เป็นสลากโจ๊กหรือสลากกัณฑ์ใหญ่ที่มีเครื่องไทยทานและยอดปัจจัยมาก 
อิมินา  สลากภัตตานัง  มหาสลากภัตตานัง    ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี….(ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)…  ก็หาได้ยังข้าวสลากกัณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา…  (พ่อ  แม่  ปู่  ย่า ฯลฯ)….  ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า….(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)…..ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลีหรือ
“สุทินนัง   วต  เม  ทานัง   อาสวัคคยาวหัง   โหนตุ   ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี…..(ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)… ก็หาได้ยังข้าวสลากกัณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา……(พ่อ  แม่ ปู่ ย่าฯลฯ)….ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า…(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)…ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี



วันตาน หมายถึง  วันทำบุญถวายข้าวสลาก    เมื่อได้เวลาพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ก็จะทยอยมาถึงวัดที่มีงาน  ถ้ามีการแข่งขันขบวนแห่คณะกรรมการจัดงานจะเชิญตัวแทนหมู่บ้านต่าง ๆ  ที่ร่วมแข่งขันมาจับสลากลำดับที่การนำขบวนแห่เข้าวัดส่วนชาวบ้านก็จะทยอยนำกัณฑ์สลากหรือเครื่องไทยทานทุกชนิดไปตั้งรวมกันเป็นหมวดหมู่ที่คณะกรรมการจัดไว้   ส่วนเส้นสลากให้นำไปในวิหารจบทานแล้วเอาเส้นสลากทั้งหมดวางรวมกันตรงกลางวิหารต่อหน้าพระประธาน 
ต่อมาเวลาประมาณ ๑๐  นาฬิกา  คณะกรรมการก็จะทำพิธีสูนเส้นคือคนเส้นสลากให้แตกออกจากกันเพื่อไม่ให้เส้นของบ้านหลังเดียวกันอยู่ในมัดเดียวกันเสร็จแล้วคณะกรรมการจะสำรวจว่ามีพระภิกษุกี่รูปสามเณรกี่รูปที่มาร่วมพิธีในวันนั้น  แล้วหารือกับประธานสงฆ์ว่าควรจะถวายพระภิกษุกี่เส้นสามเณรกี่เส้นเรียกภาษาพื้นบ้านว่า“จ๊ะขุจ๊ะเณร” หรือตามที่ภาษาแบ่งเส้นสลากแบบโบราณกล่าวว่า“พี่ได้สองน้องได้หนึ่ง”  หมายความว่า ถวายพระมากกว่าสามเณรอีกเท่าตัว  เสร็จแล้วปู่อาจารย์วัดก็จะเป็นผู้นำทำพิธีทางศาสนากล่าวคือไหว้พระ  สมาทานศีล  สูมาครัวตานเวนตาน  เอาเส้นสลากจำนวนหนึ่งไปประเคนพระพุทธรูป (พระประธาน)จำนวนหนึ่งประเคนประธานสงฆ์   เสร็จแล้วพระสงฆ์อนุโมทนาลาพระ  ถวายภัตตาหารเพล    จากนั้น เวลา  ๑๒.๓๐ นาฬิกา   เส้นสลากออก  หมายความว่าพระภิกษุสามเณรจะเริ่มอ่านเส้นสลากกันแล้ว     การออกเส้นสลากมี  ๒ แบบ    คือ 
๑. แบบเส้นเสาะหาก๋วย   (เอาเส้นสลากตามหาก๋วยสลาก) เส้นเสาะหาก๋วย วิธีปฏิบัติคือญาติโยมเจ้าของกัณฑ์สลากจะอยู่เป็นที่ ๆหมวด ๆ  ตามที่กล่าวแล้ว   พระภิกษุสามเณรที่ได้เส้นสลากของใครอยู่หมวดไหนจะตรงไปที่หมวดนั้นแสดงเส้นสลากให้ดู   เจ้าภาพเอาก๋วยสลากประเคนพระหรือสามเณรรูปนั้นก็ปั๋นปอนหรือให้พร   เสร็จแล้วเอาเส้นสลากอื่น  ๆ  ตามหาก๋วยต่อ ๆ  ไป  จนเส้นสลากในมือหมด
๒. แบบก๋วยเสาะหาเส้น  (เอาก๋วยสลากตามหาเส้นสลาก) คือ   นิมนต์พระภิกษุสามเณรทุกรูปมานั่งเรียงกันหรือนั่งใต้ร่มไม้ชายคาที่ที่เหมาะสมแล้วเอาเส้นสลากวางเรียงกันที่หน้าเก้าอี้ตนญาติโยมก็ช่วยกันหอบหิ้วเอาก๋วยสลากเดินตามหาเส้นสลากของตนเอง   หากพบว่าอยู่เฉพาะหน้ารูปใดจะประเคนก๋วยสลากแก่พระภิกษุรูปนั้นและท่านก็ให้พร     ก๋วยอื่น ๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน   ความสนุกสนานของงานตานก๋วยสลากอยู่ตรงความชุลมุนของการออกเส้นสลากนี้มาตั้งแต่โบราณกาล  หลังจากเส้นสลากออกพระภิกษุสามเณรเจ้าภาพงานจะช่วยกันหยาดน้ำกัณฑ์เข้าวัด 
วันล้างผาม  เมื่อเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ  ต้องมาช่วยกันเก็บกวาดขยะมูลฝอย กลุ่มแม่บ้านเก็บเครื่องครัวเข้าที่กลุ่มผู้สูงอายุจะมาคัดแยกเครื่องไทยทานให้เป็นหมวดหมู่  คณะกรรมการฝ่ายการเงินมานับเงินสรุปรายรับรายจ่ายเรียบร้อย   เสร็จงานทางวัดแล้ว  บ้านใครยังมีอาหารคาวหวานและเครื่องดองของเมาเหลือรับแขกจะชวนเพื่อน ๆ ไปร่วมรับประทานกัน เรียกภาษาชาวบ้านว่า“ล้างผาม”


ก๋วยสลากหลวง

อานิสงส์การทำบุญตานก๋วยสลาก 
๑. ผลทานที่เราอุทิศย่อมไปถึงผู้รับตามเป้าหมายเพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า  ทานที่ไม่เฉพาะเจาะจงผู้รับย่อมมีผลมาก  เมื่อผู้ให้ถึงพร้อมด้วยองค์สี่คือ ของทานเป็นของบริสุทธิ์  ผู้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์   ผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ให้แล้วไม่เสียดายของปรารถนา   สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตามประสงค์
๒. ได้ชื่อว่าเป็นศาสนทายาทที่ดีคือ  การช่วยกันสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามทางพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไป   จนตราบกาลนาน 
๓.  เป็นการสร้างความสามัคคีกันระหว่างญาติพี่น้องในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน

ข้อสังเกตที่ควรปรับปรุงในการตานก๋วยสลาก  ได้แก่ 
๑. การทำบุญตานก๋วยสลาก ควรยกเว้นการฆ่าวัว ควาย เพราะ   นอกจากจะเป็นการทำบุญผสมบาปแล้ว  ยังเป็นการทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอีกด้วย  
๒.  ไทยทานหรือเครื่องกัณฑ์สลากที่ญาติโยมถวายพระบางอย่างเป็นของไม่สมควรแก่สมณบริโภคของที่ถวายควรเป็นของที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ยังความยินดีมาสู่ทั้งผู้รับและผู้ให้  อานิสงส์จากความยินดีนี้ต่างหากที่อาจเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ในปรโลกได้และทำให้มีสุขในภพนั้นได้ 
๓.  สังคมปัจจุบันบางพื้นที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของศาสนพิธีนัก   ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนแทบทุกหมู่บ้านก็บริโภควัฒนธรรมบางชาติอย่างขาดสติ หากเราปัญญาชนผู้เป็นพ่อแม่ ปู่ย่า  ตายาย ไม่ช่วยกันอบรมบ่มนิสัยและส่งเสริมให้เขาได้รู้เห็นและลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่สร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ให้เขาทั้งทางตรงและทางอ้อม อนาคตหากเราหรือคนเฒ่าคนแก่ลาโลกนี้ไปแล้วหากเราไปเกิดในอบายภูมิ   ใครเล่าจะเป็นคนช่วยส่งข้าวปลาอาหารให้กิน  ใครจะหาเสื้อผ้าให้เราใส่และใครจะฉุดเราขึ้นจากนรกได้

คำถวายตานก๋วยสลากภัตด้วยภาษาบาลี
อิมานิ   มะยัง  ภันเต   สะลากะภัตตานิ   สะปะริวารานิ   อุสุกัฏฐาเน   ฐะปิตานิ   ภิกขุสัง-ฆัสสะ  โอโณชะยามะ  สาธุ  โน  ภันเต  ภิกขุสังโฆ  เอตานิ  สะลากะภัตตานิ   สะปะริวารานิ   ปะฏิคคัณหาตุ   อัมหากัญเจวะ   มาตาปิตุอาทีนัญจะ  ปิยะชะนานัง  ฑีฆะรัตตัง   หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ  ข้าพเจ้าทั้งหลาย   ขอน้อมถวาย   สลากภัตตาหารพร้อมทั้งของอันเป็นบริวารทั้งหลายซึ่งตั้งไว้ ณ  ที่โน้นเหล่านั้น   ของข้าพเจ้าทั้งหลาย   เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยชนทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นด้วย  สิ้นกาลนาน  เทอญ


ข้อมูลจาก : หนังสือรู้เรื่องอำเภอนาน้อย
นางรัตนา สวัสดิผล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ (ประสานงานวัฒนธรรมอำเภอนาน้อย)
อ้างอิงจาก :  http://province.m-culture.go.th/nan/file/amphur/noi/02-3noi.html

วันออกพรรษา


วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” คำว่า “ปวารณา” แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้” ใน วันออกพรรษา นี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วยซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ “สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ” มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้วจักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะจัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอด เมื่อถึง วันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจาก วันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัด วันออกพรรษา หนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย



วันมหาปวารณา (วันออกพรรษา)


 
กิจกรรมในวันออกพรรษา
วันออกพรรษา นี้พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นโอกาศอันดีที่จะกระทำ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัดและฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้มมัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศล “ตักบาตรเทโว” ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
2. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
3. ร่วมกิจกรรม “ตักบาตรเทโว” (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11)
4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและประดับธงชาติ และธงธรรมจักร ตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับ วันออกพรรษา เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป

กิจกรรม ประเพณีวันออกพรรษา ของไทย
1. ประเพณีออกพรรษา แห่ปราสาทผึ้ง และการแข่งขันเรือยาว จังหวัด สกลนคร
2. ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จังหวัด แม่ฮ่องสอน
3. ประเพณีตักบาตรเทโว จังหวัด อุทัยธานี
4. ประเพณีบุญแห่กระธูป จังหวัด ชัยภูมิ
5. ประเพณีชักพระ ทอดพระป่า และแข่งขันเรือยาว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
6. งานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จังหวัด หนองคาย
7. ประเพณีลอยผาสาด ดารดาษนทีโขง จังหวัด เลย
8. เทศกาลงานบุญออกพรรษา จังหวัดมุกดาหาร
9. ทำบุญตักบาตรสองแผ่นดิน เหนือสุดในสยาม จังหวัด เชียงราย
10. งานประเพณีลากพระและมหกรรมวัฒนธรรมสัมพันธ์ จังหวัดตรัง
11. ประเพณีแข่งโพนลากพระ จังหวัด พัทลุง

กิจกรรมที่เกี่ยวข้องในวันออกพรรษา กับครอบครัว
1. วันออกพรรษา ครอบครัวจะช่วยกันทำความสะอาดบ้าน และประดับธงชาติ ธงธรรมจักร จัดแต่งโต๊ะหมู่บูชาพระประจำบ้าน
2. ศึกษาเอกสารและ สนทนาเกี่ยวกับความสำคัญของวันออกพรรษา และแนวทางปฏิบัติในครอบครัว
3. ครอบครัวจะร่วมกับบำเพ็ญบุญกุศล ทำบุญตักบาตร บริจาคทานร่วมกันในวันออกพรรษา
4. ปฏิบัติธรรมที่วัด รักษาศีล ไวห้พระสวดมนต์ร่วมกัน เนื่องในวันออกพรรษา

กิจกรรมที่เกี่ยวข้องในวันออกพรรษา กับสถานศึกษา
1. ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน และประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เนื่องในวันออกพรรษา
2. ครูและ นักเรียนร่วมกันให้ความรู้ ความเข้าใจถึง ความสำคัญของวันออกพรรษา ทั้งหลักธรรม และการปฏิบัติตนในวันออกพรรษา
3. จัดกิจกรรม นิทรรศการ ประกวดเรียงความ สมุดภาพ ตอบปัญหาธรรม บรรยายธรรม เนื่องในวันออกพรรษา
4. จัดกิจกรรมร่วมกันกับชุมชนที่วัด บำเพ็ญกุศลทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม พัฒนาพื้นที่สาธารณะ และวัด และกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมในวันออกพรรษา

กิจกรรมที่เกี่ยวข้องในวันออกพรรษา กับสถานที่ทำงาน
1. ทำความสะอาดบริเวณที่ทำงาน และประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เนื่องในวันออกพรรษา
2. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของวันออกพรรษ และการปฏิบัติตนเนื่องในวันออกพรรษา
3. ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ปลูกต้นไม้ บริจาคโลหิต
4. หน่วยงานให้โอกาสผู้ร่วมงานบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนิยม ในกรณีวันหยุด และเป็นวันออกพรรษา


ประโยชน์จะได้รับจากวันออกพรรษา
1. พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันออกพรรษา รวมทั้งหลักธรรม เรื่องปวารณา และแนวทางปฏิบัติ
2. พุทธศาสนิกชนเกิดเจตคติที่ดีต่อวันออกพรรษา และเห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม คือ ปวารณา
3. พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธา ซาบซึ้ง และตระหนักในความสำคัญของพระพุทธศาสนา
4. พุทธศาสนิกชนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีรู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ชาวพุทธได้อย่างถูกต้อง

ขอบคุณข้อมูล : วันออกพรรษา (http://scoop.mthai.com/specialdays/3163.html)

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พุทธปรัชญา (Buddhism)


พุทธปรัชญาการศึกษา มาจากคำว่า Buddhishic Philosophy of Education ซึ่งได้แนวคิดมาจากพระพุทธศาสนา (Buddhism) จากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธจ้า และปรัชญาการศึกษาอื่นๆ การศึกษาในพุทธปรัชญา คือ การศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริง เข้าใจความหมายของชีวิต ทั้งดำรงชีวิตให้สอดคล้องสัมพันธ์กับความจริง

พุทธปรัชญา ได้นำหลักเหตุและผลไปวิเคราะห์และอธิบายความจริงและความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายในโลก ได้ชี้แนะให้ทราบว่าอะไรคือความเป็นเลิศ หรือความดีที่พึ่งปรารถนาในชีวิต และจะศึกษาปฏิบัติให้เป็นผลได้อย่างไร

พุทธปรัชญา หมายถึง ความรู้อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วหรือพุทธธรรม

ความเป็นมาของพุทธปรัชญา 
พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และได้หล่อหลอมเป็นวิถีดำเนินชีวิตของคนไทย จึงเห็นควรให้พุทธปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาการศึกษาที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นไทย ผู้รู้ที่สนับสนุนให้พิจารณาปรัชญาการศึกษาไทยบนพื้นฐานของพุทธปรัชญา เช่น ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ท่านพุทธทาสภิกขุ พระเทพเวที พระราชวรมุนี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และเอกวิทย์ ณ ถลาง เป็นต้น พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นถึงความจริงหรือสัจธรรมในหลักไตรลักษณ์ ซึ่งได้แก่
อนิจจัง คือ ความเป็นของไม่เที่ยง
ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์
อนัตตา คือ ความเป็นของไม่ใช่ตน
โลกและชีวิตเป็นอนิจจังไม่มีอะไรแน่นอน มนุษย์จึงไม่ควรติดอยู่กับวัตถุหรือมุ่งแสวงหาแต่ความสุขทางวัตถุ เพราะชีวิตแท้จริงแล้วเป็นทุกข์ เพราะประกอบด้วยสิ่งต่างๆ อันเป็นของไม่เที่ยง คือ ขันธ์ 5 ได้แก่
รูป คือ ร่างกาย รวมทั้งคุณสมบัติและพฤติกรรมทั้งปวง
เวทนา คือ อารมณ์ทุกข์และสุขของมนุษย์
สัญญา คือ การเรียนรู้ ความจำ
สังขาร คือ องค์ประกอบทางจิตที่คอยปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่ว ได้แก่ เจตคติ ค่านิยม ความตั้งใจ ความสนใจ ซึ้งประกอบกันขึ้นเป็นแรงขับให้มีการกระทำ
วิญญาณ คือ การรับรู้เกิดจากประสาทสัมผัสโดยตรง
มนุษย์เป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนที่แท้จริงที่เห็นว่าเป็นตัวตนอยู่นี้ก็เพราะว่าองค์ประกอบทั้ง 5 มารวมกันอยู่ในกระแสแห่งการเกิดดับ ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิจสมุปบาท คือ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกฎเหตุและผลหรือเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์

พุทธปรัชญาการศึกษา คือ การพัฒนาขันธ์ 5 เพื่อให้ความโง่เขลาของผู้เรียนลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด และให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นคนเก่ง คนดี และคนมีความสุขในโลกปัจจุบันและอนาคต

ความมุ่งหมายของการศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาของศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี มี 4 ประการ 

ความมุ่งหมายเกี่ยวกับตัวผู้เรียน 
การศึกษาจะต้องมุ่งพัฒนาโลภ โกรธ หลง ให้ลดลงและพัฒนาความรู้ ความจำ นิสัย และอื่นๆ ในทางที่เหมาะสม

ความมุ่งหมายเกี่ยวกับสังคม 
การศึกษาต้องช่วยพัฒนาสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข เนื่องจากวังคมไทยเป็นสังคมที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาซึ่งถ้าเข้าใจพุทธปรัชญาในไตรลักษณ์ อิทธิบาท 4 แล้วก็จะเข้าใจสังคมได้ดีขึ้นและไม่ตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงในสังคม

อิทธิบาท 4 คือ สิ่งซึ่งมีคุณธรรมให้บรรลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ประกอบด้วย

ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
วิริยะ  ความพากเพียรในสิ่งนั้น
จิตตะ ความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
ความมุ่งหมายเกี่ยวกับลักษณะของการเรียนรู้
การศึกษาพัฒนาวิธีคิด และการใช้เหตุผลในตัวผู้เรียนเพื่อให้สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างผู้มีปัญญา

ความมุ่งหมายเกี่ยวกับความร่มเย็นของชีวิตมนุษย์ทั่วไป 
การศึกษาต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เกิดความร่มเย็นแก่ชีวิตในสังคม

นโยบายการศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาของศาสตราจารย์สาโรช บัว
1.การจัดการศึกษาเพื่อนสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นนโยบายประชาธิปไตย เพราะพุทธปรัชญาเป็นปรัชญาประชาธิปไตย เช่นพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า บุคคลแต่ละคนไม่เหมือนกันเปรียบเสมือนดอกบัว 4 เหล่า
2.การจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการแบ่งปัน
3.การจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
วิธีสอนแม่บทสำหรับโรงเรียน ต้องใช้วิธีการแห่งปัญญา คือ สอนตามหลักอริยสัจ สี่ ซึ่งตรงกับวิธีการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์

อริยสัจสี่
ทุกข์ คือ ความทุกข์ของมนุษย์เองที่เกิดขึ้นในชีวิต
สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาหรืออยาก ที่ยึดถือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
นิโรธ คือ ความดับทุกข์
มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มี 8 ประการ คือ
1. สัมมาทิฐิ คือ การคิดชอบ ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ การทำใจชอบ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ กล่าวชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ คือ อาชีพในทางที่ชอบ
6. สัมมาวายามะ คือ ความพยายามชอบ
7. สัมมาสติ คือ ตั้งสติชอบ
8. สัมมาสมาธิ คือ ความเพ่งอารมณ์ชอบ

ขั้นของอริยสัจสี่ 
1. ขั้นทุกข์ ชีวิตนี้เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
2. ขั้นสมุทัย สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา
3. ขั้นนิโรธ การดับทุกข์
4. ขั้นมรรค หนทางดับทุกข์

ขั้นของวิธีการแห่งปัญญา (วิทยาศาสตร์) 
1. การกำหนดปัญหา
2. การตั้งสมมุติฐาน
3. การทดลองและเก็บข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล

พุทธปัญญาการศึกษาตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ 
จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ
เพื่อดับทุกข์ทั้งปวงให้หมดสิ้น คือทุกข์ที่เกิดจากกิเลสเพราะการศึกษาในพุทธศาสนา หมายถึง การสามารถทำให้บุคคลเอาชนะโลกนี้ทั้งหมด (ไม่ต้องการลาภยศทางวัตถุใดๆ) เอาชนะโลกอื่นทั้งหมด (ไม่ต้องการไปเกิดในชาติอื่น) และทำให้อยู่เหนือโลกทั้งปวง (ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่เกิดในโลกไหนอีกต่อไป)
เพื่อส่งเสริมศีลธรรมทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ คือ สร้างความถูกต้องเพื่อความก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจ ต้องชี้ให้เห็นถึงความสุข 2 อย่างคือ ความสุขทางกาย ซึ่งยิ่งเสพยิ่งต้องการมากและทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น กับความสุขทางจิต ซึ่งยิ่งแสวงหาเท่าไรยิ่งทำความร่มเย็นให้มากเท่านั้น
เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคม คือขจัดความเห็นแก่ตัวและร่วมมือกันเสริมสร้างสันติสุขในชุมชนและในโลก โดยให้จุดมุ่งหมายทั้ง 3 ข้อนี้ ไปใช้ในการจัดการศึกษาในโรงเรียน พร้อมทั้งยึดหลักพุทธศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา ทัตถศึกษา

หน้าที่ของการศึกษาและหน้าที่ครู มี 2 ประการ คือ
หน้าที่ในการถ่ายทอดศิลปวิทยา ได้แก่ วิชาชีพตลอดจนมรดกทางวัฒนธรรม ทางวิชาการ ซึ้งหมายถึงถ่ายทอดให้นักเรียนได้รู้จริง มีความใฝ่รู้ที่จะค้นคว้าให้รู้มากขึ้น มีการเพิ่มพูนหรือทำให้งามขึ้นและนำไปประกอบอาชีพได้ หรือสร้างความเป็นเลิศทั้งด้านสติปัญญาและเลิศในประโยชน์ของสังคมประเทศชาติ
หน้าที่ในการชี้แนะให้รู้จักการดำเนินชีวิตที่ดีงามถูกต้อง และการฝึกฝนพัฒนาตนให้สมบูรณ์ เช่น การทำให้คนมีแรงจูงใจที่ถูกต้อง (ฉันทะ) ในการศึกษา การสร้างจิตสำนึกในการศึกษาโรงเรียนวิถีพุทธ
วิถีพุทธ หมายถึง แนวทางดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบชาวพุทธ โดยมีหลักธรรมที่เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นวิถีชีวิตแบบพุทธ นั่นคือ มรรคมีองค์แปด สรุปลงในไตรสิกขาได้
สัมมาทิฐิ – ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ – ความดำริชอบ
สัมมาวาจา – วาจาชอบ
สัมมากัมมันตะ – การกระทำชอบ
สัมมาอาชีวะ – เลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวายามะ – พยายามชอบ สั
มมาสติ – ระลึกชอบ สั
มมาสมาธิ - ตั้งจิตชอบ

โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง โรงเรียนที่จัดการศึกษาตามหลักไตรสิกขาเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยภาวนา 4 คือ พัฒนาการทางกาย สังคม จิต และปัญญา

โรงเรียนจัดพัฒนาผู้เรียนตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการส่งเสริมให้เกิดปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ คือ
1. การอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้ มีสื่อที่ดี
2. เอาใจใส่ศึกษาโดยมีหลักสูตรที่ดี
3. มีกระบวนการคิด วิเคราะห์ พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและถูกวิธี
4. ความสามารถที่จะนำความรู้ไปใช้ในชีวิตได้ถูกต้องตามหลักธรรม

โยนิโสมนสิการ 
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ให้ความหมายว่า การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือการพิจารณาความจริงโดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะจนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยหรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบซึ้งจะมีเกิดอวิชชาปละตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี

สาระสำคัญของพุทธปรัชญาการศึกษา 

ความมุ่งหมายของการศึกษา

1.เพื่อพัฒนาร่างกายและจิตใจของผู้เรียนให้สมบูรณ์
2.เพื่อให้เข้าใจอุดมการณ์สังคมที่ผู้เรียนในฐานะเป็นพลเมืองดี
3.เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดของผู้เรียนไปสู่การคิดที่ถูกต้อง
4.เพื่อพัฒนาศีลธรรมและจริยธรรมของผู้เรียนให้มีความสัมพันธ์อย่างสงบระหว่างสมาชิกของสังคมและโลก
5.เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะและเจตคติในกลุ่มสาระตามหลักสูตร และระดับชั้นเรียนตามความต้องการของแต่ละบุคคล และความแตกต่างระหว่างบุคคล
สถานศึกษา สถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามพุทธปรัชญาการศึกษา เชื่อว่าผู้เรียนทุกคนพร้อมที่จะเป็นคนเก่ง คนดี และคนมีความสุขทุกช่วงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นสถานศึกษาต้องมีจุดมุ่งหมายดังนี้

1.เตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนทุกคนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุขในทุกช่วงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต
2.จัดสิ่งแวดล้อมและอาคารสถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอื้อและสอดคล้องต่อการพัฒนาร่างกายและจิตใจของผู้เรียนทุกคน
3.ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักแบ่งปัน และการมีส่วนร่วมภายในสถานศึกษาและในสังคมภายนอกสถานศึกษา
4.ส่งเสริมการเรียนรู้ ทักษะ และเจตคติกลุ่มสาระต่างๆ ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
5.ส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคลในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

หลักสูตร 

จุดมุ่งหมายที่สำคัญของหลักสูตร คือ การพัฒนาขันธ์ 5 คือ
1.เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีร่างกาย สุขภาพ พลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ สมส่วนคล่องแคล่วว่องไว มีพัฒนาการทางด้านร่างกายตามวัยและได้มาตรฐานสากล
2.เพื่อพัฒนาผู้เรียนในด้านความรู้สึกโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและมีพัฒนาการไปตามลำดับขั้น
3.เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีสติปัญญา ความรู้ และความสามารถ และการเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับตนเอง สังคมและโลก และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขในปัจจุบันและอนาคต
4.เพื่อพัฒนาแรงขับและคุณสมบัติทางจิตใจของผู้เรียน ได้แก่ อารมณ์ เจตคติ คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม
5.เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้มีจิตสำนึกทั้งในทางกาย ทางวาจา และทางใจ (การคิด)

เนื้อหาของหลักสูตร
1.มีเนื้อหาวิชาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเกี่ยวกับการพัฒนาด้านร่างกาย ได้แก่ วิชาคหกรรมศาสตร์ วิชาพลานามัย วิชาสุขศึกษา เป็นต้น
2.ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเสริมสร้างและฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง เช่นวิชาพลศึกษา การกีฬา นันทนาการ เป็นต้น
3.ควรมีเนื้อหาด้านการพัฒนาความรู้สึกนึกคิด ได้แก่ วรรณคดี ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา ชีววิทยา และนิเวศวิทยา เป็นต้น
4.ควรมีเนื้อหาด้านการพัฒนาความคิดและการใช้สมอง ได้แก่ วิชาวรรณคดี คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี เป็นต้น
5.ควรมีเนื้อหาด้านการพัฒนาอารมณ์ เจตคติ คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม ได้แก่ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี เป็นต้น 6. ควรมีเนื้อหาด้านการพัฒนาจิตสำนึกและการใช้เหตุผลทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ ได้แก่ วิชาศีลธรรม จริยธรรม และสุนทรียภาพ สังคมศึกษา สังคมวิทยา สิ่งแวดล้อม และธรรมชาติศึกษา เป็นต้น

การเรียนการสอน 

วิธีการสอนต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและสภาพของผู้เรียน ดังนั้นจะยึดหลักปฏิบัติตามอริยสัจสี่ และมรรคแปด ดังนี้

1.ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข
2.ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยวิธีการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งวิธีการเรียนเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
3.คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน
4.จัดสภาพภายในห้องเรียนและบริเวณสถานศึกษาและสภาพแวดล้อมภายนอกให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และการเรียนด้วยตัวเอง ส่งเสริมการมีวินัยในตนเองและการมีสมาธิของผู้เรียนแต่ละคนและการเรียนเป็นกลุ่มในบางครั้งตามความเหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเป็นคนดีในหมู่คณะ รู้จักแบ่งปัน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมซึ้งส่งผลต่อการเป็นพลเมืองดีของชาติ รู้จักเสียสละ แบ่งปัน การให้ และการมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตยต่อไป
5.ให้ความสำคัญกับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล และต้องส่งเสริมเด็กเรียนเก่งให้เจริญงอกงามทั้งความรู้สึกและสติปัญญา
6.คิดหาวิธีสอน และกิจกรรมและประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งในและนอกห้องเรียน และสอดคล้องกับสื่อและเนื้อหา ความรู้และทักษะของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้

ผู้สอน - ครู

เป็นผู้ให้วิทยาการ (สิปปทายก) ได้แก่ การให้ความรู้ทางวิชาการและการประกอบอาชีพแก่ผู้เรียน รวมถึงต้องหมั่นค้นคว้าและหาความรู้
มีหน้าที่ชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง (กัลยาณมิตร) คือสอนให้รู้จักคิด มองความหมายของสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง รู้ตักแสดงออกอย่างมีเหตุผล มีความรับผิดชอบและรู้จักดำเนินชีวิตที่ดี

ผู้เรียน

เป็นผู้ที่มีความเคารพและศรัทธาต่อครู
เป็นผู้รับฟังคำแนะนำของครู
เป็นผู้ที่มีความพร้อมและมีวุฒิภาวะ รู้จักใช้เหตุผลและคุณธรรมในการตัดสินใจ

การวัดและประเมินผล

โดยวัดผลจากการกระทำของนักเรียน ด้วยการสังเกตพฤติกรรม
ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนของนักเรียน
                                                            นิทานสอนใจ (พุทธปรัชญา)

ที่มา : http://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/06.html