วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีตานข้าวสลากหรือสลากภัต



ความหมาย    ตานข้าวสลากหรือตานก๋วยสลาก    เป็นภาษาถิ่น   หมายถึงการที่ทายกทายิกา(ผู้ให้ทาน)นำข้าวปลาอาหารพร้อมทั้งสิ่งของใส่ในก๋วยหรือชะลอมที่สาน ด้วยไม้ไผ่ที่สมควร
แก่พระสงฆ์ต้องใช้ชาวนาน้อย เรียกว่า กิ๋นสลาก  บางท้องที่เรียกว่า ตานก๋วยสลาก  บางแห่งเรียกว่า  การถวายสลากภัต  นับเป็นประเพณีที่เก่าแก่ที่เกิดขึ้นในพุทธศาสนา และเป็นประเพณีทางศาสนาที่สำคัญที่ชาวนาน้อยปฏิบัติสืบต่อกันมา

ประวัติความเป็นมาของการถวายสลากภัต  
            ในสมัยพุทธกาล  ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร     ได้มีนางกุมาริกาได้อุ้มลูกชายวิ่งหนีนางยักษ์ผู้มีเวรต่อกันหลายชาติแล้วติดตามมาจะทำร้ายลูกของนาง  นางเห็นจวนตัวจึงพาลูกวิ่งหนีเข้าไปวัดเชตวันนำลูกน้อยวางแทบพระบาทพระพุทธเจ้า    พระพุทธเจ้าทรงตรัสคำสอนต่อนางมาริกาและนางยักษ์ด้วยคำสอนที่ว่า  เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร  เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร  แล้วให้นางทั้งสองเห็นผิดชอบชั่วดีนางยักษ์รับศีลห้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า     เมื่อรับศีลแล้วไม่รู้จะทำมาหากินอย่างไรนางกุมาริกาเห็นดังนั้น  จึงรับอาสาพานางยักษ์ไปอยู่ด้วย นางยักษ์ได้รับการอุปการะจากนางกุมาริกาหลายประการจึงอยากตอบแทนบุญคุณนาง จึงเป็นผู้พยากรณ์เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศให้กับนางมาริกาทำให้นางมาริการ่ำรวยขึ้นจากการประกอบอาชีพตามคำพยากรณ์ของนางยักษ์จนเพื่อนบ้านมีความสงสัยพากันขอความช่วยเหลือจากนางยักษ์ จนมีฐานะร่ำรวยขึ้น ด้วยความสำนึกในบุญคุณนางยักษ์จึงพากันซื้อเครื่องอุปโภค    บริโภคอาหารการกินเครื่องใช้มาสังเวยให้กับนางยักษ์เป็นจำนวนมาก  จนข้าวของนางยักษ์มีเหลือกินเหลือใช้ นางยักษ์จึงนำมาเป็นสลากภัต  โดยให้พระสงฆ์ได้ทำการจับเบอร์ด้วยหลักอุปโลกกรรม  คือ ของที่ถวายมีทั้งของราคามากราคาน้อยพระสงฆ์รูปใดได้ของที่ราคาน้อยก็อย่าเสียใจให้ถือว่าเป็นโชคของตน
    การถวายแบบจับสลากของนางยักขินี  นับเป็นครั้งแรกของการทำบุญสลากภัตในพระพุทธศาสนาและชาวอำเภอนาน้อยได้ถือปฏิบัติมาจนปัจจุบันนี้


ก๋วยสลากน้อย


การทำบุญสลากภัตนับเป็นประเพณีที่สำคัญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ การทำบุญเกี่ยวกับประเพณีดังกล่าวประกอบด้วยเหตุผล   ๗   ประการ 
( ๑)   ประชาชนว่างเว้นจากภารกิจการทำนา 
( ๒)   ผลไม้  เช่น  ส้มโอ  ส้มเขียวหวาน   ส้มเกลี้ยง   กำลังสุก
( ๓)   ประชาชนหยุดพักไม่เดินทางเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน
( ๔)   พระสงฆ์จำพรรษาอย่างพรักพร้อม
( ๕)   ได้โอกาสสงเคราะห์คนยากจน 
( ๖)   ถือว่ามีอานิสงส์มาก   คนทำบุญสลากมักจะมีโชคลอยมา
( ๗)   มีโอกาสหาเงินและวัตถุบำรุงวัด

ระยะเวลาทำบุญทานสลากภัตหรือกิ๋นสลาก   ทำกันตั้งแต่เดือน ๑๒ เหนือเป็งเรื่อยมาจนถึงเดือนยี่เหนือ   คือ  ช่วงเดือน ๑๑ - ๑๒ ของภาคกลาง ชาวบ้านจะนำพืชผลมาถวายใส่ไว้ในก๋วยสลาก    สลากภัตของชาวนาน้อย   ประกอบด้วย
( ๑)  สลากก๋วยเล็กหรือสลากหน้อย   คือ  สลากกระชุเล็ก ๆ
( ๒)  สลากก๋วยใหญ่คือสลากโชค
สลากก๋วยเล็ก ใช้ถวายอุทิศให้แก่ผู้ตายหรือ ทำบุญเพื่อเป็นกุศลในภายหน้า  ส่วนสลากก๋วยใหญ่ใช้ถวายเป็นมหากุศล ทำถวายเพื่อเป็นปัจจัยภายหน้าให้มีบุญกุศลมากขึ้น มีกำลังศรัทธาและร่ำรวยเงินทอง   

การเตรียมงาน   ควรวางแผนดำเนินงานดังนี้   
๑. หาวันฤกษ์งามยามดี เช่นนอกจากไม่เป็นวันเสียตามหลักโหราศาสตร์ เช่น   วันม้วยอาศรม   วันอุบาทว์  วันโลกาวินาศ  ฯลฯ  แล้ว   ควรเป็นวันหยุดราชการและไม่ควรเป็นวันที่มีงานซ้ำกันหรือซ้อนกันกับหมู่บ้านใกล้เคียงอื่น     
๒. การนิมนต์พระสงฆ์    ควรนิมนต์หมดทุกรูปทั้งวัด   เพราะงานตานสลากเป็นเพียงงานเดียวที่พระวินัยบัญญัติให้สามเณรน้อยมีสิทธิเท่ากับเจ้าอาวาส   นั้นคือการเสี่ยงดวงจับสลากโจ๊กหรือสลากที่โชคดี   แม้ว่าการรับผ้ากฐินพระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทุกรูปมีสิทธิ์ครองจีวรที่เป็นผ้ากฐินนั้นได้   แต่พระผู้อุปโลกซึ่งเจ้าอาวาสเป็นผู้ตั้งก็จะยกให้อธิบดีสงฆ์หรือเจ้าอาวาสวัดนั้น สมัยปัจจุบันประเพณีตานข้าวสลากนี้ที่ถือปฏิบัติอย่างถูกต้องจริง ๆ จะไม่ค่อยมีให้เห็น 
๓. การเตรียมงาน  ในส่วนของวัด   เจ้าอาวาสต้องเตรียมงานคือ  แจกงานให้พระภิกษุสามเณรหรือคณะกรรมการวัดรับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมถนนหานทางเข้าวัดหรือในวัด  อาคารโรงครัว  เครื่องครัว  ประดับตกแต่งต้นไม้ ประดับธงชาติธงเสมาธรรมจักรรอบกำแพงวัด   ปักตุงตามเส้นทางเข้าวัดฯลฯ รวมถึง การขึ้นต้าวตั้งสี่   การจัดทำอาหารถวายพระภิกษุสามเณร การจัดไทยทานหรือกัณฑ์รับหัววัดต่าง  ๆ    ทุกฝ่ายต้องพร้อมก่อนจะถึงวันจัดงาน

วันดา  หมายถึงวันเตรียมงานก่อนจะถึงวันถวายทาน  ๑  วัน  ในส่วนของวัดจะต้องมีพิธีขึ้นต้าวตั้งสี่ก่อน  เป็นประเพณีนิยมถือปฏิบัติเพราะเชื่อว่า   ถ้าขึ้นต๊าวตั้งสี่หรือบอกกล่าวเชื้อเชิญให้ท้าวจตุโลกบาลมาคุ้มครองและร่วมอนุโมทนาด้วยงานครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จ     บางวัดจะขึ้นต้าวตั้งสี่ก่อนวันดาก็มี  ในวันดาสลากจะมีญาติพี่น้องต่างหมู่บ้านมาร่วมทำบุญ   เรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า  “กิ๋นหอมต๋อมม่วน”  คือมาเพื่อกินให้เต็มที่เสร็จแล้วร่วมทำบุญด้วยตามกำลังศรัทธา   ซึ่งก่อนหน้านี้มีการมาร่วมทำบุญแบบ “มาใช้หนี้” กัน นั้นคือผู้ให้ต้องดูก่อนว่างานเราครั้งก่อนเขาร่วมทำบุญมาเท่าไร   ถ้าเขาให้มา ๒๐ บาท เราก็ให้ไป ๒๐ หรือ  ๒๕  บาท  ถ้าเขามา  ๑๐๐  บาท   เราก็ไป  ๑๒๐  บาท  เป็นต้น ส่วนการเตรียมอาหารหรือเหล้ายาปลาปิ้งให้ยึดถือตามประเพณีโบราณไม่ควรล้มวัวควายครั้งละมากตัวคนที่ไปร่วมงานก็ไม่ควรไปรบกวนเจ้าภาพเกินไป  ทั้งนี้เพื่อช่วยกันจรรโลงประเพณีตานก๋วยสลากให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบไปจนถึงลูกหลาน

การเขียนเส้นสลาก   ถ้าเขียนเส้นสลากเป็นก็เขียนเองถ้าเขียนไม่เป็นก็เอาไปให้เจ้าอาวาสหรือผู้รู้เขียนให้   ได้แก่  ถ้าเป็นสลากน้อยหรือก๋วยสลากธรรมดา เขียนว่า ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี…....... 
( ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)….  ก็หาได้ยังข้าวสลากกณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา….  (พ่อ  แม่  ปู่  ย่า ฯลฯ)…  ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า…..(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)............….ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี     ถ้า
เป็นสลากโจ๊กหรือสลากกัณฑ์ใหญ่ที่มีเครื่องไทยทานและยอดปัจจัยมาก 
อิมินา  สลากภัตตานัง  มหาสลากภัตตานัง    ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี….(ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)…  ก็หาได้ยังข้าวสลากกัณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา…  (พ่อ  แม่  ปู่  ย่า ฯลฯ)….  ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า….(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)…..ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลีหรือ
“สุทินนัง   วต  เม  ทานัง   อาสวัคคยาวหัง   โหนตุ   ข้าวสลากกัณฑ์นี้ศรัทธาหมายมี…..(ชื่อ – สกุล  เจ้าภาพ)… ก็หาได้ยังข้าวสลากกัณฑ์หนึ่งก็เปื่อว่าจักตานไปหา……(พ่อ  แม่ ปู่ ย่าฯลฯ)….ผู้หนึ่งอันมรณาไปสู่โลกปายหน้าผู้มีนามกรจื่อว่า…(ชื่อผู้ที่จะอุทิศให้)…ขอหื้อได้กิ๋นได้บริโภคและอนุโมทนาในป๋างฑีฆาก๋าละวันนี้ยามนี้นั้นจุ่งจักมีเตี่ยงแต้ดีหลี



วันตาน หมายถึง  วันทำบุญถวายข้าวสลาก    เมื่อได้เวลาพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ก็จะทยอยมาถึงวัดที่มีงาน  ถ้ามีการแข่งขันขบวนแห่คณะกรรมการจัดงานจะเชิญตัวแทนหมู่บ้านต่าง ๆ  ที่ร่วมแข่งขันมาจับสลากลำดับที่การนำขบวนแห่เข้าวัดส่วนชาวบ้านก็จะทยอยนำกัณฑ์สลากหรือเครื่องไทยทานทุกชนิดไปตั้งรวมกันเป็นหมวดหมู่ที่คณะกรรมการจัดไว้   ส่วนเส้นสลากให้นำไปในวิหารจบทานแล้วเอาเส้นสลากทั้งหมดวางรวมกันตรงกลางวิหารต่อหน้าพระประธาน 
ต่อมาเวลาประมาณ ๑๐  นาฬิกา  คณะกรรมการก็จะทำพิธีสูนเส้นคือคนเส้นสลากให้แตกออกจากกันเพื่อไม่ให้เส้นของบ้านหลังเดียวกันอยู่ในมัดเดียวกันเสร็จแล้วคณะกรรมการจะสำรวจว่ามีพระภิกษุกี่รูปสามเณรกี่รูปที่มาร่วมพิธีในวันนั้น  แล้วหารือกับประธานสงฆ์ว่าควรจะถวายพระภิกษุกี่เส้นสามเณรกี่เส้นเรียกภาษาพื้นบ้านว่า“จ๊ะขุจ๊ะเณร” หรือตามที่ภาษาแบ่งเส้นสลากแบบโบราณกล่าวว่า“พี่ได้สองน้องได้หนึ่ง”  หมายความว่า ถวายพระมากกว่าสามเณรอีกเท่าตัว  เสร็จแล้วปู่อาจารย์วัดก็จะเป็นผู้นำทำพิธีทางศาสนากล่าวคือไหว้พระ  สมาทานศีล  สูมาครัวตานเวนตาน  เอาเส้นสลากจำนวนหนึ่งไปประเคนพระพุทธรูป (พระประธาน)จำนวนหนึ่งประเคนประธานสงฆ์   เสร็จแล้วพระสงฆ์อนุโมทนาลาพระ  ถวายภัตตาหารเพล    จากนั้น เวลา  ๑๒.๓๐ นาฬิกา   เส้นสลากออก  หมายความว่าพระภิกษุสามเณรจะเริ่มอ่านเส้นสลากกันแล้ว     การออกเส้นสลากมี  ๒ แบบ    คือ 
๑. แบบเส้นเสาะหาก๋วย   (เอาเส้นสลากตามหาก๋วยสลาก) เส้นเสาะหาก๋วย วิธีปฏิบัติคือญาติโยมเจ้าของกัณฑ์สลากจะอยู่เป็นที่ ๆหมวด ๆ  ตามที่กล่าวแล้ว   พระภิกษุสามเณรที่ได้เส้นสลากของใครอยู่หมวดไหนจะตรงไปที่หมวดนั้นแสดงเส้นสลากให้ดู   เจ้าภาพเอาก๋วยสลากประเคนพระหรือสามเณรรูปนั้นก็ปั๋นปอนหรือให้พร   เสร็จแล้วเอาเส้นสลากอื่น  ๆ  ตามหาก๋วยต่อ ๆ  ไป  จนเส้นสลากในมือหมด
๒. แบบก๋วยเสาะหาเส้น  (เอาก๋วยสลากตามหาเส้นสลาก) คือ   นิมนต์พระภิกษุสามเณรทุกรูปมานั่งเรียงกันหรือนั่งใต้ร่มไม้ชายคาที่ที่เหมาะสมแล้วเอาเส้นสลากวางเรียงกันที่หน้าเก้าอี้ตนญาติโยมก็ช่วยกันหอบหิ้วเอาก๋วยสลากเดินตามหาเส้นสลากของตนเอง   หากพบว่าอยู่เฉพาะหน้ารูปใดจะประเคนก๋วยสลากแก่พระภิกษุรูปนั้นและท่านก็ให้พร     ก๋วยอื่น ๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน   ความสนุกสนานของงานตานก๋วยสลากอยู่ตรงความชุลมุนของการออกเส้นสลากนี้มาตั้งแต่โบราณกาล  หลังจากเส้นสลากออกพระภิกษุสามเณรเจ้าภาพงานจะช่วยกันหยาดน้ำกัณฑ์เข้าวัด 
วันล้างผาม  เมื่อเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ  ต้องมาช่วยกันเก็บกวาดขยะมูลฝอย กลุ่มแม่บ้านเก็บเครื่องครัวเข้าที่กลุ่มผู้สูงอายุจะมาคัดแยกเครื่องไทยทานให้เป็นหมวดหมู่  คณะกรรมการฝ่ายการเงินมานับเงินสรุปรายรับรายจ่ายเรียบร้อย   เสร็จงานทางวัดแล้ว  บ้านใครยังมีอาหารคาวหวานและเครื่องดองของเมาเหลือรับแขกจะชวนเพื่อน ๆ ไปร่วมรับประทานกัน เรียกภาษาชาวบ้านว่า“ล้างผาม”


ก๋วยสลากหลวง

อานิสงส์การทำบุญตานก๋วยสลาก 
๑. ผลทานที่เราอุทิศย่อมไปถึงผู้รับตามเป้าหมายเพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า  ทานที่ไม่เฉพาะเจาะจงผู้รับย่อมมีผลมาก  เมื่อผู้ให้ถึงพร้อมด้วยองค์สี่คือ ของทานเป็นของบริสุทธิ์  ผู้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์   ผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ให้แล้วไม่เสียดายของปรารถนา   สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตามประสงค์
๒. ได้ชื่อว่าเป็นศาสนทายาทที่ดีคือ  การช่วยกันสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามทางพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไป   จนตราบกาลนาน 
๓.  เป็นการสร้างความสามัคคีกันระหว่างญาติพี่น้องในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน

ข้อสังเกตที่ควรปรับปรุงในการตานก๋วยสลาก  ได้แก่ 
๑. การทำบุญตานก๋วยสลาก ควรยกเว้นการฆ่าวัว ควาย เพราะ   นอกจากจะเป็นการทำบุญผสมบาปแล้ว  ยังเป็นการทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอีกด้วย  
๒.  ไทยทานหรือเครื่องกัณฑ์สลากที่ญาติโยมถวายพระบางอย่างเป็นของไม่สมควรแก่สมณบริโภคของที่ถวายควรเป็นของที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ยังความยินดีมาสู่ทั้งผู้รับและผู้ให้  อานิสงส์จากความยินดีนี้ต่างหากที่อาจเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ในปรโลกได้และทำให้มีสุขในภพนั้นได้ 
๓.  สังคมปัจจุบันบางพื้นที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของศาสนพิธีนัก   ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนแทบทุกหมู่บ้านก็บริโภควัฒนธรรมบางชาติอย่างขาดสติ หากเราปัญญาชนผู้เป็นพ่อแม่ ปู่ย่า  ตายาย ไม่ช่วยกันอบรมบ่มนิสัยและส่งเสริมให้เขาได้รู้เห็นและลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่สร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ให้เขาทั้งทางตรงและทางอ้อม อนาคตหากเราหรือคนเฒ่าคนแก่ลาโลกนี้ไปแล้วหากเราไปเกิดในอบายภูมิ   ใครเล่าจะเป็นคนช่วยส่งข้าวปลาอาหารให้กิน  ใครจะหาเสื้อผ้าให้เราใส่และใครจะฉุดเราขึ้นจากนรกได้

คำถวายตานก๋วยสลากภัตด้วยภาษาบาลี
อิมานิ   มะยัง  ภันเต   สะลากะภัตตานิ   สะปะริวารานิ   อุสุกัฏฐาเน   ฐะปิตานิ   ภิกขุสัง-ฆัสสะ  โอโณชะยามะ  สาธุ  โน  ภันเต  ภิกขุสังโฆ  เอตานิ  สะลากะภัตตานิ   สะปะริวารานิ   ปะฏิคคัณหาตุ   อัมหากัญเจวะ   มาตาปิตุอาทีนัญจะ  ปิยะชะนานัง  ฑีฆะรัตตัง   หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ  ข้าพเจ้าทั้งหลาย   ขอน้อมถวาย   สลากภัตตาหารพร้อมทั้งของอันเป็นบริวารทั้งหลายซึ่งตั้งไว้ ณ  ที่โน้นเหล่านั้น   ของข้าพเจ้าทั้งหลาย   เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยชนทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นด้วย  สิ้นกาลนาน  เทอญ


ข้อมูลจาก : หนังสือรู้เรื่องอำเภอนาน้อย
นางรัตนา สวัสดิผล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ (ประสานงานวัฒนธรรมอำเภอนาน้อย)
อ้างอิงจาก :  http://province.m-culture.go.th/nan/file/amphur/noi/02-3noi.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น